วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552




ราดาที่ชื่นชอบของแฟนคลับ





















น่ารักกับดาราสาวเกาหลี




















ดาราหนุ่มหล่อของเกาหลี





















และดาราสาวไทย












หนุ่มต่ายสุดฮอท กับ คุณหนูฉันทนา























คุณหนูไฮโซ แพนเค้ก















"ลุง"ฮอทสุดๆๆกับ
รถไฟฟ้า














ขอบคุณภาพจาก

www.somtamandkimchi.com/photo_large/87.jpg
news.popcornfor2.com/.../Big_122351402528.jpg
edutainmenttlc.wordpress.com/.../
http://1.3qdc.com/pop-u/2007/10/24/popu_jjhanttbk_0.out.JPG
อะไรสำคัญ



ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา

โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน

บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว
มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด
มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว
ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่
เลือกที่จะจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง
การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า
ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...
เราอาจเป็นที่ 2
ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า....
ก็ขอให้คิดไว้ว่า
ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย

แต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า
...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
โปรดห้ามใจเถอะ
ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...

ก็จงชอบต่อไปเถอะ
การรักใครซักคน
ไม่ต้องการความพยายาม
"การตัดใจ"ต่างหาก
ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า
ความสุขยาม ที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน

อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน
แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน

แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง ที่อย่างน้อย
ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ...

ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...

ยิ้มให้กับโชคชะตา
ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน

คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง
คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้ม
ของเค้าไว้คนเดียว

คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง....
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...
และร้องไห้ได้มากมาย...

คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า
ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...
ให้กลายเป็นวันที่สดใส
เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?

แค่การได้เห็นคนที่เรารัก
ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคน
ที่เค้ารักมากที่สุด
...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก
...อย่างจริงใจ
ขอบคุณบทความดีๆ http://variety.teenee.com/foodforbrain/19382.html

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แฟชั่นถุงน่องคะ กับฤดูหนาวนี้ สวยๆๆเลยนำมาฝากสาวๆๆคะ

ดูแล้วก็สวยคะสำหรับออกงาน แต่จะกล้าใส่ไปทำงานกันไหมน๊า.....





เพิ่มความมั่นใจใส่เป็นแก้งด์ก็ดีนะคะ




ขอบคุณมากมายคะ

http://women.sanook.com/widget/slideshow







ตำนานวัน Halloween
" trick or treat ! " พูดถึงคำนี้ทุกคนคงคิดถึงอะไรไปไม่ได้นอกจากเทศกาลHalloween เทศกาลผีๆของฝรั่ง วันที่ผู้คนออกมาแต่งตัวเป็นชุดผี โดยเฉพาะเด็กๆที่พากันแต่งชุดผีออกไปเคาะตามประตูบ้านคนอื่น ๆ แล้วเอ่ยคำว่า " trick or treat ! " เพื่อขอขนม ของขวัญ หรือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อยที่เจ้าของบ้านจะหยิบยื่นให้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ทุกครั้งเสมอไป แต่ถ้าได้ก็จะขอบคุณและ อวยพรขอให้เจ้าของบ้านนั้นๆรอดพ้นจากภูติผี ปีศาจ หรือคำสาป ภยันตรายต่างๆทั้งปวง แต่ใครจะทราบถึงประวัติความเป็นมาของเทศกาลนี้กันบ้างว่าทำผู้คนต้องพากันแต่งตัวเลียนแบบผีกันทั้งบ้านทั้งเมือง...


งานฮาโลวีนทีมีในปัจจุบันนั้นเชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเคลต์ (Celts) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhain คำนี้หมายถึงวันสิ้นสุดฤดูร้อน และเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตายด้วย วันนี้จะเป็นวันที่เส้นกั้นเขตแดนระหว่างคนเป็นกับคนตายเปราะบางมากที่สุด และเหล่าวิญญาณจะออกมาปะปนกับผู้คนบนโลกมนุษย์ได้ ค่ำคืนวันที่ 31 ตุลาคมซึ่งเป็นคืนก่อนวันฉลอง Samhain จะเรียกวิญญาณของผู้ที่ตายในปีนั้นทั้งหมดขึ้นมาปรากฎตัวบนโลกบ้างก็ว่าเพื่อให้ผู้ตายไปเยี่ยมญาติ บ้างก็ว่าเพื่อให้ผู้ที่ถูกพิพากษาให้เข้าสิงสถิตในร่างสัตว์ขึ้นมาหาร่างใหม่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


ทำให้ผู้คนชาวเซลท์ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย นอกจากนี้ก็จะพากันแต่งตัวเป็นผีปีศาจหลากหลายประเภท มีการจัดเดินขบวนพาเหรดผี และส่งเสียงดังรอบๆ บ้านของเพื่อนบ้าน ทำบรรยากาศให้น่ากลัวเท่าที่จะทำได้ เพื่อหวังว่า เหล่าจิตวิญญาณที่จะคอยจ้องจะมาสิงเข้าร่างของพวกเขาจะเกิดความกลัวและหนีไปเพราะความตกใจในที่สุด


นอกจากนี้คืนดังกล่าวจะเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวและอาจมีการนำสัตว์หรือพืชผลมาบูชายัญ ให้กับเหล่าภูติผีและวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับและจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์ ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลองของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 ได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมหรือ Hallow's Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween


ประเพณีของวันฮาโลวีน นี้ได้นำเข้ามาเผยแพร่ใน อเมริกา ตอนปี ค.ศ.1840 โดยคนอังกฤษที่ได้หลบหนีเข้าประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นในประเทศอังกฤษได้มีพวกที่นิยมแต่งตัวประหลาดแล้วยังรวมไปถึงการเดินเหยียบย่ำและพังรั้วบ้าน แต่ประเพณีของการหยอกเล่นให้กลัวนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เกิดมาจากคนกลุ่มเซลท์จากไอร์แลนด์ แต่ช่วงศตวรรษที่ 9 คนยุโรป ได้ตั้งชื่อเรียกว่า วันจิตวิญญาณ คือวันที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน จะมีการเดินขบวนจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อที่จะขอขนมเค้กแห่งจิตวิณญาณซึ่งทำมาจากขนมปังทรงสี่เหลี่ยมและใส่ลูกเกดด้วย ยิ่งขอขนมได้มากเท่าไร คำอธิฐานของผู้ที่ให้ขนมก็จะฝากมากับผู้ขอบริจาคขนมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เหมือนกับว่าผู้ขอขนมจะต้องเป็นตัวแทนในการที่จะพูดคุยกับคนตายที่เป็นญาติกับผู้ที่บริจาคขนม ในเวลานั้นมีความเชื่อว่าคนตายนั้นจะถูกกักกันไว้ในนรก และถ้ามีผู้มอบส่วนบุญให้ ถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้าก็ตาม มันจะช่วยเร่งและปลดปล่อยให้พวกวิญญาณเหล่านั้นขึ้นไปสู่สวรรค์ได้


ตำนานตะเกียงฟักทองหรือ ประเพณีแจ็ค โอ แลนเทริน (Jack-O-Lanterns) ตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช


ซึ่งได้เล่าไว้ว่า มีผู้ชายชื่อว่าแจ็ค โอ แลนเทริน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องดื่มเหล้าเมายาและมีกลลวงมากมาย เคยหลอกให้ซาตานปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หลังจากนั้นแจ็คก็จะจัดการแกะสลักรูปไม้กางเขนลงไปบนลำต้นของต้นไม้นั้น ซึ่งทำให้ซาตานลงจากต้นไม้ไม่ได้ แล้วแจ็คก็ได้ทำการต่อรองกับซาตานว่าถ้าซาตานจะไม่จับตัวเขาไปเขาสัญญาว่าจะปล่อยซาตานลงจากต้นไม้นั้น


หลังจากแจ็ค โอ แลนเทริน ได้ตายไปแล้ว เขาปฏิเสธที่จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย แต่เขาก็ยังปฏิเสธที่จะไปอยู่ที่นรกเพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับซาตานไว้ดั้งนั้นซาตานได้ให้ถ่านไฟแก่เขาหนึ่งก้อนแทน เพื่อที่จะให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดและหนาวเย็น ถ่านไฟก้อนนั้นได้ถูกใส่ไว้ข้างในของผักกาดที่กลวงแล้วเพื่อที่จะให้มันจุดอยู่ได้นาน


คนอังกฤษใช้ผักกาดกลวงนี้ตามแบบอย่างดั้งเดิมของ แจ็ค โอ แลนเทรินแต่เมื่อมีการโยกย้ายไปสู่อเมริกาพวกเขาพบว่าฟักทองนั้นสามารถหาได้ง่ายกว่าผักกาด ดังนั้นรูปแบบแจ็ค โอ แลนเทรินในอเมริกาจะอยู่ในรูปของฟักทองกลวงและใส่ถ่านไฟไว้ข้างใน




แหล่งข้อมูล http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_01329.php


ปาล์มน้ำมัน

ที่บ้านของฉันเองก็กำลังโต เพิ่งจะปลูกได้3ปีกว่าๆเองคะ
ไว้จะเก็บภาพมาฝากนะคะตอนนี้ก็ดูภาพประกอบไปก่อนคะ
ปาล์มน้ำมันกำลังเป็นพืชเศรษกิจที่ให้ราคาต่อผลิตที่ดีต่อเกษตรกร คะเลยอยากจะหาความรู้เกี่ยวกับปาล์มน้ำมันมาฝากคะ



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปาล์มน้ำมัน
African Oil Palm (Elaeis guineensis)
African Oil Palm (Elaeis guineensis)

ปาล์มน้ำมัน (Oil palm) เป็นพืชตระกูลปาล์มลักษณะ ลำต้นเดี่ยว ขนาดลำต้นประมาณ 12 -20 นิ้ว เมื่ออายุประมาณ 1-3 ปี ลำต้นจะถูกหุ้มด้วยโคนกาบใบ แต่เมื่ออายุมากขึ้นโคนกาบใบจะหลุดร่วงเห็นลำต้นชัดเจน ผิวของลำต้นคล้ายๆ ต้นตาล ลักษณะใบเป็นรูปก้างปลา โคนกาบใบตะมีลักษณะเป็นซี่ คล้ายหนามแต่ไม่คมมาก เมื่อไปถึงกลางใบหนามดังกล่าวจะพัฒนาเป็นใบ การออกดอกเป็นพืชที่แยกเพศ คือต้นที่เป็นเพศผู้ก็จะให้เกษรตัวผู้อย่างเดียว ต้นที่ให้เกษรตัวเมียจึงจะติดผล

ลักษณะผลเป็นทะลายผลจะเกาะติดกันแน่นจนไม่สามารถสอดนิ้วมือเข้าไปที่ก้านผลได้ เวลาเก็บผลปาล์มจึงต้องใช้มีดงอเกี่ยว ที่โคนทะลายแล้วดึงให้ขาด ก่อนที่จะตัดทะลายปาล์มต้องตัดทางปาล์มก่อนเพราะผลปาล์มจะตั้งอยู่บนทาง ปาล์ม กระบวนการตัดทาง(ใบ)ปาล์มและตัดเอาทะลายปาล์มลง เรียกรวมๆ ว่า แทงปาล์ม ปาล์มน้ำมันจัดเป็น พืชเศรษฐกิจ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอัฟริกา เป็นพืชที่ให้ผลผลิต น้ำมันต่อหน่วยพื้นที่สูงกว่าพืชน้ำมันทุกชนิด

สามารถนำมาแปรรูปทำเป็นน้ำมันปาล์มประกอบอาหาร เนย รวมถึงเป็นส่วนผสมในไบโอดีเซลด้วย ใบมาบดเป็นอาหารสัตว์ กะลาปาล์มเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิง ทะลายปาล์มใช้เพาะเห็ด และกระทั่งการปลูกลงดินไปแล้วก็ช่วยในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีก [1]

ในประเทศไทยมีการปลูกทั้งทางภาคใต้และภาคตะวันออก พันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก เป็นปาล์มน้ำมันลูกผสมเทเนอรา โดยเฉพาะที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงปี 2547 - 2550 มีการส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่นาร้าง โดยกรมพัฒนาที่ดิน มีการขุดร่องให้ฟรี ให้พันธุ์และปุ๋ย โดยให้เหตุผลในการส่งเสริมการปลูกเนื่องจากเป็นปาล์มที่ให้นำมันใช้ได้ทั้ง การบริโภคและใช้เป็นไบโอดีเซลได้

ปัจจุบัน ประเทศที่ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดในโลกคือประเทศมาเลเซีย ผลิตเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 47 ของการผลิดของโลก

ขอบคุณ http://th.wikipedia.org/wiki/ปาล์มน้ำมัน

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เซลล์ต้นกำเนิดโลหิต คืออะไร?

เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell)เป็นเซลล์ตัวอ่อนของโลหิต โดยจะเจริญเติบโตไปเป็นเม็ดโลหิตแดง (ทำหน้าที่นำอ๊อกซิเจนไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย) เม็ดโลหิตขาว(ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค) และเกล็ดโลหิต (เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้โลหิตแข็งตัว) ซึ่งนอกจากจะเจริญเติบโตเป็นเม็ดโลหิตหลายชนิดแล้ว สเต็มเซลล์ยังสามารถให้กำเนิดตัวเองได้ตลอดเวลา ด้วยคุณสมบัติพิเศษดังกล่าว ทำให้สเต็มเซลล์ไม่มีวันหมดไปจากร่างกาย เราจึงสามารถบริจาคสเต็มเซลล์ให้กับผู้ป่วยโดยที่สเต็มเซลล์ของผู้บริจาค สามารถสร้างขึ้นทดแทนได้อย่างรวดเร็ว

โรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการปลูกถ่าย Stem Cell

  • โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (เป็นโรคที่พบได้มากในประเทศไทย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น)
  • โลหิตจางชนิดไขกระดูกฝ่อ
  • มะเร็งเม็ดโลหิตขาวเฉียบพลัน / เรื้อรัง
  • มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
  • มะเร็งกระดูก Myeloma
  • มะเร็งเต้านม
  • มะเร็งรังไข่
  • มะเร็งปอด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2552
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

ขอบคุณ ที่ให้ความรู้อันมากมายมหาศาล

http://icare.kapook.com/blood.php?ac=detail&s_id=25&id=1610

ผู้ร้ายในคราบ แฟน!!!

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจใครง่ายๆๆนะคะ

ผู้ร้ายในคราบ แฟน!!! (มติชน)

เป็น "ข้อมูล" ที่ช็อคความรู้สึกนักวิชาการในอังกฤษที่พบว่า ทุกวันนี้มีเด็กสาวอังกฤษ 1 ใน 3 ที่ถูกแฟนของตัวล่วงละเมิดทางเพศ มีเด็กสาวหลายคนบอกว่าถูกแฟนบังคับให้จูบหรือสัมผัสร่างกายในแบบที่ตนไม่ ต้องการ และมีเด็กสาวในกลุ่มอายุ 13-17 ปี อยู่ถึง 1 ใน 6 ที่บอกว่า เคยถูกคนรักของตัวเองข่มขืน!!!

"นี่ เป็นเรื่องน่าตกใจมาก ที่พบว่ามีการเอารัดเอาเปรียบและกระทำรุนแรงในความสัมพันธ์ ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ยังเด็ก และเป็นประเด็นรุนแรงที่ควรมีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีอำนาจในการ ออกนโยบาย และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องได้รู้เป็นอันดับแรก เพื่อช่วยกันหาหนทางป้องกัน" นายเดวิด เบอร์ริดจ์ จากมหาวิทยาลัยบริสทอล ที่ร่วมกับองค์กรป้องกันการกระทำทารุณต่อเด็ก ทำการสำรวจศึกษาประเด็นนี้ กล่าว

เดวิดเล่าว่า ข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการเก็บข้อมูลในกลุ่มวัยรุ่นทั่วประเทศมากกว่า 1,300 คน อย่างเช่น ทานิสชา เด็กสาวที่เล่าว่าเธอเคยถูกแฟนหนุ่มตบหน้า "มันน่ากลัว และน่าขยะแขยง เขาตบฉัน เพียงแค่ฉันพยายามแสดงความเห็นของฉัน แต่เขาไม่ชอบใจความเห็นของฉัน"

ทั้งนี้ ในผลสำรวจยังพบว่า เหตุผลหนึ่งที่เด็กสาวส่วนใหญ่ทนตกเป็นเหยื่อก็เพราะกลัวจะถูกแฟนทิ้ง

เดวิดได้เสนอแนวทางป้องกันว่า นอกจากพ่อ แม่และผู้ปกครองควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้เด็กเห็นถึงการมีความสัมพันธ์ที่ เต็มไปด้วยความรักและความปลอดภัย ยังควรจะสอนให้เด็กๆ รู้ด้วยว่า อย่ายอมรับความสัมพันธ์ที่มีการทำร้าย กระทำรุนแรงต่อกัน

ขอบคุณแหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้และเตือนภัยด้านล่างคะ

ขอบคุณ http://icare.kapook.com/caution.php?ac=detail&s_id=20&id=1832



เคล็ด (ไม่) ลับ ใช้ความรักบำบัดโรค


" โรค" ในที่นี้ อาจจะไม่ใช่โรคเมื่อตอนที่คนรักเจ็บป่วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นโรคทางใจที่ทำให้ คนรักซึมเศร้าเหงาหงอย หรือแปลกไปกว่าปกติ จำเป็นที่จะเติมความรักลงไปได้เช่นกัน

1. ให้กำลังใจ การให้กำลังใจอาจแสดงออกได้หลายวิธี ทั้งจากการพูดจาและการกระทำ (อย่างจริงใจ) โดยเฉพาะเมื่อคนที่เรารักกลายเป็นคนป่วย (คนป่วยส่วนใหญ่มักต้องการให้คนเอาใจ และขี้ใจน้อยได้ง่ายกว่าปกติ) จำเป็นต้องเพิ่มความเอาใจใส่ยกกำลังสอง เช่น ปลอบโยนเกี่ยวกับโรคที่เป็นว่าจะต้องหาย ต้องอยู่กับเราไปนานๆ การที่เราพูดแบบนี้ จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ทำให้มีกำลังใจในการต่อกรกับโรคร้าย


2. ไม่โดดเดี่ยว อย่าแสดงกิริยาอาการว่าเบื่อคนที่เรารัก โดยเฉพาะตอนที่ป่วยแล้วอ้างเหตุผลต่างๆ นานา ว่า ไม่มีเวลามาเยี่ยม ติดธุระต่างๆ หรือถกเถียงกันเรื่องการเฝ้าไข้ ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด อย่าทำให้ผู้ป่วยรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะจะทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล ซึ่งมีผลต่อสุขภาพต่อผู้ป่วย ทั้งทางตรงและทางอ้อม

3. ห่วงใย-สัมผัส พลัง ความรักความห่วงใยสามารถถ่ายทอดผ่านการสัมผัส การโอบกอด หรือการจับมือผู้ป่วยเพื่อให้เขารู้สึกดี รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย แน่นอนว่า จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่ดีเยี่ยมอีกวิธีหนึ่ง

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
http://icare.kapook.com/suicide.php?ac=detail&s_id=65&id=120

พูดถึงเรื่องความฝันกัน

ความฝันคืออะไร และมีอิทธิพลต่อมนุษย์เราอย่างไรบ้าง?

06/06/2009

คนเราทุกคนต่างก็นอนหลับฝันกันทั้งนั้น แต่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่จำความฝันของตัวเองได้ หลายๆ คนต่างพยายามทำความเข้าใจกับความฝัน และบรรดานักวิจัยก็กำลังพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะเข้าใจความหมายของความฝันเหล่านั้น

คุณเคยฝันกันบ้างรึเปล่า แล้วเคยสร้างภาพและเรื่องราวในยามหลับกันบ้างรึเปล่า? วันนี้ เราจะมาท่องโลกความฝันไปด้วยกัน

ความฝัน คือการแสดงออกของความนึกคิด ความรู้สึก และเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในสมอง ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่ คนเรามักจะฝันกันคืนละสองสามครั้ง หรืออาจจะฝันกันได้ถึงคืนละสี่ ถึง หก ครั้งเลยทีเดียว ทุกคนต่างก็นอนหลับฝัน แต่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่จดจำความฝันของตัวเองได้

คำว่า "ฝัน" มาจากคำเก่าในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า ความยินดี และเสียงดนตรี ความฝันของคนเรามักจะรวมถึงรูป รส กลิ่น เสียง และสิ่งที่เราสัมผัสได้ บางครั้งเราอาจฝันเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งมักไม่ใช่เรื่องที่น่าประทับใจนัก หรืออาจจะเป็นฝันร้าย หรือแม้แต่เรื่ององที่น่ากลัวก็เป็นได้

ในบางครั้ง บรรดาศิลปิน และนักเขียน บอกว่าพวกเขาได้แนวคิดต่างๆ จากความฝัน ตัวอย่างเช่นนักร้องที่ชื่อ Paul McCartney แห่งวง The Beatles ที่เล่าว่า ในวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมา พร้อมกับเสียงดนตรีของเพลง "Yesterday" อยู่ในหัวของเขา ส่วนนักเขียน Mary Shelley บอกว่า เธอมีความฝันที่รุนแรง เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ ที่ใช้เครื่องจักรทำให้สัตว์โลกชนิดหนึ่งคืนชีพได้ เมื่อเธอตื่นขึ้นมา จึงเริ่มเขียนหนังสือเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ "Frankenstein" ที่สร้างให้สัตว์ประหลาดมาต่อสู้กัน

ผู้คนต่างพยายามทำความเข้าใจกับความฝัน มาเป็นเวลานานนับพันปี ชาวกรีก และโรมันโบราณ เชื่อกันว่า ความฝันคือสารจากพระเจ้า ในบางครั้ง คนที่สามารถเข้าใจความฝัน อาจสามารถช่วยกองทัพในสมรภูมิได้

ส่วนสำหรับชาวอียิปต์โบราณ เชื่อกันว่าผู้ที่เข้าใจความฝัน คือบุคคลพิเศษ ในประเทศจีน เชื่อกันว่าความฝัน คือหนทางไปเยือนสมาชิกในครอบครัวผู้ล่วงลับไปแล้ว ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันบางชนเผ่า และชาวเม็กซิกันที่เจริญแล้ว เชื่อว่า ความฝันคืออีกโลกหนึ่ง ที่เราไปเยือนในยามหลับ และในยุโรป ผู้คนเชื่อกันว่า ความฝันคือสิ่งชั่วร้าย และอาจชักนำให้คนหันไปทำสิ่งเลวร้ายได้

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 สองนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ได้พัฒนาแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับความฝัน

ในปีคริสต์ศักราช 1900 Singmund Freud นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย ได้ตีพิมพ์หนังสือที่มีชื่อว่า "The Interpretation of Dreams" หรือการตีความเกี่ยวกับความฝัน เขาเชื่อว่าคนเรามักจะฝันถึงสิ่งที่ตนต้องการ แต่ไม่อาจครอบครองได้ และความฝันเหล่านี้มักจะโยงไปถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ และความก้าวร้าวรุนแรง

สำหรับฟรอยด์แล้ว ความฝันเต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนเร้น เขาเชื่อว่าความฝันอาจเป็นหนทางสำคัญ ในการช่วยให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมองของคนเรา เขาบอกอีกว่า ความฝันคือหนทางในการช่วยแก้ไขปัญหา และช่วยให้สามารถเข้าใจความวิตกกังวลต่างๆ ตัวอย่างเช่น เวลาที่คนเราฝันว่ากำลังบินอยู่ หรือกำลังนั่งชิงช้าแกว่งไปมา นั่นหมายถึงว่า พวกเขาต้องการที่จะเป็นอิสระจากเรื่องราวในวัยเด็กของพวกเขา

ส่วนผู้ที่ฝันว่าพ่อแม่ หรือพี่น้องเสียชีวิต ฟรอยด์เชื่อว่าผู้ที่ฝัน กำลังซ่อนความรู้สึกเกลียดชังต่อคนๆ นั้น หรืออยากได้ในสิ่งที่คนเหล่านั้นมีอยู่

Carl Jung นักจิตวิทยาชาวสวิส ผู้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Sigmund Freud เป็นเวลานานนับปี แต่กลับพัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับความฝันที่แตกต่างออกไป Jung เชื่อว่า ความฝันอาจช่วยให้คนเราเติบโต และเข้าใจในตัวเองมากขึ้น เขาเชื่อว่าความฝันจะบ่งบอกทางแก้ไขปัญหา ที่คนเราต้องเผชิญในยามตื่น นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าความฝันบ่งบอกถึงตัวตนของคนเรา และความสัมพันธ์ที่เรามีต่อผู้อื่น แต่เขาไม่เชื่อว่า ความฝันซ่อนเร้นความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ หรือความก้าวร้าวรุนแรง

บรรดานักวิยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างเอาจริงเอาจัง เกี่ยวกับความฝีน สมาคมการศึกษาเรื่องความฝันนานาชาติ จัดการประชุมขึ้นเป็นประจำทุกปี และสำหรับปีนี้ การประชุมจะมีขึ้นในเดือนนี้ ที่นครชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ ศาสตราจารย์ชาวออสเตรเลีย Robert Moss จะชี้แจงว่าความฝันต่างๆ มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์อย่างไรบ้าง ตัวอย่างเช่น Harriet Tubman ที่สามารถช่วยทาสชาวอเมริกัน ให้หนีเป็นอิสระได้ เพราะเธอฝันเห็นตัวเองบินได้เหมือนนก และศาสตราจารย์ Robert Moss ยังเป็นหลักสูตรสอนให้คนเข้าใจความฝันทางอินเตอร์เนตด้วย

นักวิจัย Rosalind Cartwright กล่าวว่า นี้การศึกษาเกี่ยวกับความฝันกำลังเปลี่ยนไป เพราะปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์หันไปศึกษาว่า ทำไมคนบางคนจึงมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับกันมากขึ้น เธอบอกว่า สำหรับผู้ที่นอนหลับสนิท ความฝันช่วยให้พวกเขาสามาถควบคุมอารมณ์ในระหว่างวัน นักวิจัยกำลังพยายามที่จะทำความเข้าใจว่า ความฝันมีความสำคัญต่อผู้ที่นอนไม่หลับ หรือหลับๆ ตื่นๆ ในตอนกลางคืน อย่างไรบ้าง?

นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยอีกหลายคน ที่กำลังศึกษาว่า ความฝันสามารถช่วยให้คนเรารับมือกับปัญหาต่างๆ ความเศร้า และอารมณ์ของคนเราได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนเชื่อว่า การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความฝันเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

มาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้ว ที่ Sigmund Freud ตีพิมพ์หนังสือเล่มสำคัญเกี่ยวกับความฝันของเขา แต่ยังคงไม่มีบทสรุปว่าสมองของคนเรา ทำงานอย่างไร ในขณะที่นอนหลับฝัน และทำไมคนเราถึงนอนหลับฝัน

ขอบคุณที่มา : http://www.voanews.com/thai/archive/2009-06/2009-06-06-voa1.cfm?moddate=2009-06-06