วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สวัสดีคะ วันนี้ไม่ได้อัพเดทข้อมูลอะไรเลยคะ พอดีช่วงเสาร์อาทิตย์ ขอหยุดพักหายใจ
แล้วจะเตรียมเรื่องดีๆๆมาเล่าให้ฟังหลังจากที่กลับบ้านนะคะ ไว้เจอกันวันอังคารแล้วกันคะ จะเอาข้อมูลดีๆๆมาบอกเล่าเก้าสิบให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกันคะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พริก!!!ไม่เผ็ด มีจริงคะ
สำหรับครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เตรียมเนื้อหาอะไรมาเพิ่มเติม
แต่ว่าก็มีรูปพริก ที่ลูกโตมากๆๆจาก ประเทศอิสราเอลมาฝากคะพอดีมีพี่ใจดีฝากมาให้ดูคะ
และทราบมาว่าพริกนี้ไม่เผ็ด ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้ลิ้มรส แต่พี่ที่ส่งมาให้บอกว่างั้นคะ !!!
ประกาศถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
นักศึกษากองทุนกู้ยืมชั้นปี 1 เข้าร่วมปลูกป่าเทิดไท้องค์ราชัน ครั้งที่ 4


ให้นักศึกษากองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อ การศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุกคนเข้าร่วมปลูกป่าเทิดไท้องค์ราชัน ครั้งที่ 4 ในวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2552 เวลา 08.30 น. พร้อมกัน ณ พื้นที่ป่าต้นน้ำร่องก่อ - ฟาร์มคณะเกษตร ( ใส่เสื้อสีชมพู ) พร้อมสมุดพกกิจกรรม

ขอบคุณ http://www.reg.ubu.ac.th
วันนี้ขอนำบทความที่เคยอ่านและมันอาจจะตรงกับตัวเองมา และคงจะมีบ้าง ที่บางส่วนอาจตรงกับท่านผู้อ่านเหมือนกัน


วันเวลาที่ผ่านมา ชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต
ผู้คนมากมายผ่านเข้ามา
บางคนผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป

..................
แต่บางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น...

จากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนรู้จัก คนคุ้นเคย ล่วงเลย ไปถึงกลายเป็นคนรักกัน

เวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน
สถานภาพทางความรู้สึกของเราก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
..................
บางคนยังคงความเป็นคนแปลกหน้า
ยังรักษาระยะห่างของการเป็นคนรู้จัก คนคุ้นเคย หรือ
คนรักกันไว้ได้อย่างคงที่...
..................

บางคน เปลี่ยนแปลงจากคนแปลกหน้า
กลายเป็นคนคุ้นเคย...
...................
จากคนเคยคุ้น กลายมาเป็น คนรักกัน ..
ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลงอย่างรู้สึกได้ ...
และเมื่อนั้น เรื่องราวดี ๆ สวยงามทางความรู้สึกจึงเกิดขึ้น ..
....................

แต่ในทางกลับกัน..
ระยะห่างของบางคน อาจห่างไกลออกไปจนสุดหูสุดตา
จากคนเคยรัก คนเคยคุ้น กลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก ..
กลายเป็นคนแปลกหน้าทางความรู้สึกไป ..

......................
แน่นอนว่า ระยะห่างของคนรู้จัก กับ คนรัก ย่อมไม่เท่ากันเป็นแน่ ..
แต่นั่นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ..
ฉันเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของเวลา
พอ ๆ กับเชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก..
....................
ไม่มีมาตราวัดใด ๆ ที่จะใช้วัดระยะห่างของความรู้สึกได้
และระยะห่างในแต่ละสถานภาพทางความรู้สึกในแต่ละคนก็คงจะไม่เท่ากัน..

เราระบุชัดไม่ได้ว่า 1 เท่ากับ 1 ในความรู้สึกของอีกคน
1 ในความรู้สึกของคนหนึ่ง อาจจะเป็น 100 ในความรู้สึกของอีกคนก็เป็นได้ ..

และในเมื่อการคบหากันเป็นปฏิสัมพันธ์ของคนสองคน
เราจึงมองเห็นความไม่ลงตัว เห็นระยะห่างที่ไม่เท่ากันของคนสองคนได้เสมอ..
....................
กับคนบางคน เราอยากเป็นมากกว่าคนรู้จัก
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรามันสั้นลง

กับคนบางคน เราอยากเป็นน้อยกว่าที่เป็นอยู่
เราก็จะพยายามที่จะทำให้ระยะห่างของเรายาวไกลออกไป..

แต่กลับบางคนเรากลับอยากจะรักษา ระยะห่าง ตรงกลาง ไว้ให้คงที่
ไม่ให้ห่างหาย จางหนี หรือ เข้ามาใกล้จนเรารู้สึกอึดอัด..
.....................

เคยรู้สึกใช่ไหมว่า ..
ขณะที่เราเดินเข้าหา บางคนกลับกำลังเดินหนี
กับบางคนเรากำลังเดินหนี บางคนกลับเดินตาม...
กับบางคนเราก็ต้อ! งการระยะห่างประมาณหนึ่ง ไม่ต้องใกล้มาก
แต่ไม่ต้องการห่างหายไปไหน..

.....................
ขณะที่บางคนวิ่งตาม
ล้มลุกคลุกคลานและเจ็บปวดกับระยะห่างของอีกคนที่ทิ้งไว้ตรงหน้า
และขณะเดียวกันกับที่อีกคนก็วิ่งหนี
โดยไม่คิดจะหันกลับมามองความเจ็บปวดของอีกคน
อะไรก็เกิดขึ้นได้ กับความรู้สึกคน..

เหนื่อยแสนเหนื่อย ล้าแสนล้า แต่สุดท้ายก็ยังพยายาม
พยายามที่จะยื้อยุดฉุดดึงอยู่เช่นนั้น

บางคนปล่อยความรู้สึกของอีกคนไว้ บนความห่าง ห่างจนลับตา ..
ไม่เคยหันกลับมามองหรือรับรู้ความเป็นไปของอีกคน ..
ไม่เคยรับรู้ว่า

ระยะห่างที่เขาทิ้งไว้อีกคนมันสร้างความเจ็บปวดได้ประมาณไหน
แต่ก็มีบางคนที่เหนื่อยล้ากับระยะห่างที่พยายามรักษาไว้เพียงแค่นั้น
ไม่ต้องห่างไป แต่ เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้ ..
ต้องการเพียงเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบ ....

.............................

การทำลายระยะห่างของคนสองคนอาจไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายนักสำหรับอีกหลาย ๆ คน...

บางคนพยายามมาเกือบทั้งชีวิต..
ระยะห่างที่ว่าก็ยังคงห่างอยู่เช่นเดิม..

ขณะที่บางคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งตาม
ปล่อยทุกอย่าง! ให้เป็นหน้าที่ของเวลา

ไม่เรียกร้องให้เกิดความคาดหวัง
ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนชาเฉย...
ระยะห่างนั้นกลับขยับเข้ามาใกล้ราวปฏิหารย์..
.................................


ขอบคุณบทความ จำไม่ได้แล้วมาเอามาจากไหน แต่มันกินใจเราซะเหลือเกิน
เรื่องของลูกกตัญญู

วันนี้เรามาต่อหัวข้อเรื่องที่ติดค้างไว้นะคะ
เรื่องของลูกกตัญญู อภิรักษ์ แซ่ฮ้อ คะ วันนี้มีเวลาเลยนั่งอ่านต่อจนจบทั้งเล่มเลยคะ และก็

มีข้อคิด ดังนี้นะคะจากที่ข้าพเจ้าได้อ่านจนจบ และจับใจความได้คะ

@@@การประหยัดหรือขี้เหนียว บางทีก็ไม่สามารถทำให้คนเราร่ำรวยขึ้นมาได้
และความร่ำรวยก็ไม่ใช่หนทางที่จะนำพาชีวิตไปสู่เป้าหมายของชีวิตได้
"เงิน" ไม่สามารถที่จะซื้อความสุขได้ และความสุขที่ได้มาก็ไม่ใช่จะได้มา
ด้วยการแลกกับเงินเสมอไป
@@@@
>ประสบการณ์สอนให้เขาได้รู้ว่า การรอคอยเป็นศิลปะของการดำเนินชีวิต ทุกคนที่เกิดมา
ล้วนแต่ผ่านการรอคอยมาแล้วทั้งนั้น<*-*>
****ตราบใดที่ยังมีถนนให้เดิน ร่างกายยังพอไหว ก็จะต้องเดินไปจนสุดถนนชีวิตนั่นแหล่ะ
ชีวิตยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ตามวัน เวลาที่ผ่านไปอย่างไม่หยุดยั้ง วันคืนที่ผันผ่านไปนั้น
เรียกอะไรกลับคืนมาไม่ได้เลย ไม่ว่าความทุกข์หรือความสุข รวมทั้งความเป็นหนุ่มเป็นสาว
ที่หายไปพร้อมๆกับวันเวลา***

+++หนทางที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น
คนเราไม่จำเป็นเกิดมาแล้วต้องร่ำรวยหมดทุกคนหรอก คนที่ไม่ร่ำรวย ก็สามารถ
ประสบความสำเร็จก็ได้ ถ้าหากไม่ทะเยอทะยาน และวาดหวังไว้จนสูง เกินไปจนยากที่จะ
ไขว่คว้า+++

ขอบคุณอีกครั้งคะ หนังสือที่ให้ข้อคิดเตือนใจแก่เยาวชนเล่มนี้

ทุนการศึกษา

ประกาศจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มูลนิธิจุมภฏ-พันทิพย์ได้ให้ทุนแก่นักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ที่กำลังจะขึ้นปี2 ในปีการศึกษา 2553
และเป็นผู้มีความประพฤติดี มีความตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม รับใบสมัครและสมัครวันนี้ถึง 9 ธ.ค.2552
ที่งานกิจการนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์

ขอบคุณ sms จาก UBU-NEWS

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


คิดถึงบ้าน


สวัสดีคะ หลายๆท่าน ที่เป็นลูกข้าวเหนียว เป็นชาวอีสานบ้านเฮา เพียงได้ยินบทเพลง
ที่เกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองก็อดที่จะคิดถึงบ้านที่มีพ่อมีแม่มีพี่น้อง
ที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน และวันนี้ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือที่ได้ยืมมาจาก
ท่านอาจารย์อนุพงษ์ รัฐิรมย์ อาจารย์ท่านใจดีมากคะให้ยืมหนังสือมาอ่าน
และแนะนำว่าได้ซื้อมาในราคาที่ แพง แต่ถ้าได้อ่านหลายๆคน ราคาก็จะถูกลง
นั่นทำให้ข้าพเจ้าได้คิดว่า การแบ่งปัน ไม่ใช่สิ่งของเพียงอย่างเดียง แต่ความรู้ก็มีคุณมีประโยชน์ ดังเช่นหนังสือ
ที่ท่านอาจารย์ได้ซื้อมาและได้ใจดี แบ่งให้นักศึกษาได้อ่าน ได้ข้อคิดไปเป็นแนวทางกันหลายๆคนก็อดสัยไม่ได้ว่า
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ คำว่า "คิดถึงบ้าน " นั่นละคะเป็นที่มาของคิดถึงบ้าน ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ "ลูกยอดกตัญญู อภิรักษ์ แซ่ฮ้อ "(จากที่ยืมมาจากท่านอาจารย์ )
ซึ่งหนังสือเขียนจากชีวิตจริงของคุณอภิรักษ์ แซ่ฮ้อ
โดยเรื่องราวของแม่ลูกคู่นี้ได้ ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน เมื่อพ.ศ. 2552
ภายหลังจากรายการตีสิบ ช่อง 3 ได้นำเสนอเรื่องราวมาเผยแพร่ในรายการติดต่อกัน 3 ครั้ง
และเขียนโดย เริงศักดิ์ กำธร ผู้สื่อข่าวรางวัลพูลิเซอร์ปี 2553

และมีบทความที่จับใจความได้มากมายเช่น
"ทำไมเขาจะไม่รักลูก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลูกหิว เพราะเขาก็หิวเหมือนกัน แต่เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาจะแสดงอาการอ่อนแอ ให้ลูกเห็นไม่ได้" ถ้าลือไม่เลือกงาน ไม่ขี้เกียจ ไม่เล่นการพนัน ไม่ติดผิ่น ลือทำงานไม่กีปี รับรองว่าลื้อต้องตั้งตัวได้ "จำไว้นะ คนเราไ่ม่มีใครเก่งมาจากท้องพ่อท้องแม่หรอก เกิดมาแล้วก็มาหัดกันทั้งนั้น" ถ้าลืออยากจะรวย ต้องเป็นคนขยันและขี้เหนียว เก็บออมเท่านั้นจำไว้ นะอาตี๋

ของที่ไม่มีคุณค่าในสายตาคนอื่น หากเราเห็นคุณค่า มันก็มีค่ามีราคาขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเห็นคุณค่า ของมันมากน้อยแค่ไหน "เงินทองที่หามาได้ จะใช้ ฟุ่มเฟือยไม่ได้ นะ ชีวิตของคนเราจะรวยหรือจน ชะตาชีวิตสามารถพลิกผันได้ภายในวันเดียว"

นี่แค่ยังอ่านไม่จบคะ ไว้จะเอามาเสริมให้นะคะขอติดค้างไว้ก่อน


ส่วนเรื่องคิดถึงบ้าน ก็มาจากบทในหนังสือที่อ่านคะ ที่แม่รักลูกชายมากๆๆ เลยทำให้ข้าพเจ้าอ่านไปน้ำตาคลอไป ไม่คลอธรรมดาคะ ร้องไ้ห้เลย 555
และทำให้คิดถึงพ่อกับแม่ที่บ้านคะ เลยจะขอรวมเพลงที่ฟังแล้วทำให้หวนคิดถึงบ้านคะ
เพลงที่ 1 อยากฝันดีที่บ้านเรา ร้องโดย ตั๊กแตน ชลดา ลองหาฟังนะคะ เพลงที่2 ดอกนีออนบานค่ำ ร้องโดยตั๊กแตน ชลดา เพลงที่3 คนบ้านเดียวกัน ร้องโดย ไผ่ พงศธร
ขอหยิบยกมาแค่นี้ก่อนนะคะ ข้าพเจ้ายังอ่านไม่จบเลย อิอิ

ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ให้ยืมหนังสือ
ขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือที่ให้ข้อคิดเตือนใจ
ขอบคุณบทเพลงที่สื่อและแทนความหมายให้คิดถึงบ้าน
ขอบคุณพ่อแม่พี่ที่ให้การสนับสนุนข้าพเจ้ามาตลอด
ขอบคุณเพื่อนๆที่ช่วยสนับสนุน ให้หยิบยืม (ตังค์)ในเวลาขัดสน
ขอบคุณผู้อ่านที่แวะเวียนมาแม้ไม่มี คำชมหรือ คำแนะนำกลับมา แต่มันเป็นกำลังใจให้มุ่งมั่นที่จะจดจำบทเรียนชีวิตจากบล็อกนี้คะ

*-*
สวัสดีคะ ท่านผู้อ่านทุกท่านคะ
ขอบคุณที่ติดตามบล็อกของข้าพเจ้ามาโดยตลอดนะคะ
วันนี้ข้าพเจ้าขอแนะนำบล็อกที่มีพระคุณ และมีประโยชน์ต่อทุกท่านมาแนะนำคะ
บล็อกนี้สามารถเรียนรู้ได้ไม่จำกัดเพศ อายุ อาชีพเลยคะ
แล้วก็เรียนได้หลากหลายภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และรวมทั้ง ภาษาบาลีสันสกฤตด้วยคะ
อย่ารอช้าเลยคะ ตาม link ด้านล่างนี้เลยคะ
http://www.oknation.net/blog/buddhamantra

ขอบพระคุณที่ให้ความรู้ทางทางโลกและทางธรรมด้วยคะ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เล็บ บอกอะไร
และมีสาเหตุมาจากอะไร ควรแก้ไขอย่างไร ดังนี้
1. เล็บหนา ผิวเล็บร่อนเปราะ
มีสาเหตุมาจากเชื้อราซึ่งเกิดเพราะความอับชื้น แล้วคุณไม่ได้รักษาความสะอาดดีพอ
ปัญหานี้มักจะเกิดกับนักกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ หากปล่อยทิ้งไว้ เล็บคุณอาจหัก
กร่อนและเสียมากขึ้น จนถึงขั้นไม่มีการงอกใหม่ คุณควรไปพบแพทย์โรคผิวหนัง ซึ่งสามารถ
แนะนำและรักษาได้อย่างถูกวิธี

2. เล็บมีสีดำคล้ำผิดไปจากสีเล็บปกติ
กิดจากการที่เล็บของคุณไปกระทบกระแทกกับสิ่งใดแรงๆ และหากบริเวณปลายนิ้วมีอาการ
บวมเป่งด้วย อย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบไปพบแพทย์โรคผิวหนัง และที่สำคัญอย่าแคะเขี่ย เพื่อให้อาการ
บวมเป่งนั้นยุบแฟบ เพราะหากนิ้วและเล็บคุณเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อลุกลามได้

3. เล็บเปลี่ยนเป็นสีต่างจากสีเล็บปกติ
ไม่ว่าจะเป็นสีแดง น้ำเงิน เหลือง น้ำตาลหรือสีอื่นใดที่ผิดจากปกติโดยที่ไม่ได้เกิดจากการกระทบ
กระแทกหรือเสียดสีใดๆ ให้คิดก่อนว่านั่นอาจหมายถึงเล็บของคุณเกิดการติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์
โรคผิวหนังเพื่อรับการตรวจรักษา

เหลืออีกเพียบเลยล่ะคะ เดี๋ยวติดตามตอนต่อไปนะคะ
ก่อนอื่นขอบคุณ ผู้มีพระคุณก่อนคะhttp://www.gpo.or.th/news/interest/inter21.htm

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


ส่วนด้านล่าง นี้มันออกจะเวอร์หน่อยนะ แต่ว่าก็เรื่องจริง!!!!

นี่นะ นึกว่าเท่ นักหรอจ๊ะ

ขอบคุณภาพจากเพื่อนรักฉันเอง 55++